เมนู

ทิ้งก็ตาม เมื่อเขากล่าวคำเป็นธรรมอยู่ ขึ้นชื่อ
ว่าบาปย่อมไม่เปรอะเปื้อน.
[1048] ถ้าสัตว์เหล่านั้น ไม่มีปัญญาของตนเอง
หรือวินัยที่ศึกษาดีแล้วไซร้ คนจำนวนมากก็
จะเที่ยวไปเหมือนกระบือตาบอดเที่ยวไปในป่า
[1049] แต่เพราะเหตุที่ธีรชนบางเหล่าศึกษาดี
แล้ว ในสำนักอาจารย์ ฉะนั้นธีรชนผู้มีวินัย
ที่ได้แนะนำแล้ว จึงมีจิตตั้งมั่นเที่ยวไปอยู่.

จบ คันธารชาดกที่ 1

อรรถกถาคันธารวรรคที่ 2



อรรถกถาคันธารชาดกที่ 1



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เภสัชชสันนิธิการสิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยการทำการสะสมเภสัช แล้ว
จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า หิตฺวา คามสหสฺสานิ ดังนี้
ก็เรื่องเกิดขึ้นแล้วที่กรุงราชคฤห์. ความพิสดารว่า เมื่อท่าน
ปิลินทวัจฉะไปพระราชวังเพื่อปล่อยคนตระกูลผู้รักษาอาราม แล้วสร้าง
ปราสาททองถวายพระราชาด้วยกำลังฤทธิ์ คนทั้งหลายเลื่อมใสพากัน

ส่งเภสัชทั้ง 5 ไปถวายพระเถระ. ท่านแจกจ่ายเภสัชเหล่านั้นแด่บริษัท
แต่บริษัทของท่านมีมาก พวกเขาเก็บของที่ได้ ๆ มาไว้เต็มกระถางบ้าง
หม้อบ้าง ถลกบาตรบ้าง. คนทั้งหลายเห็นเข้าพากันยกโทษว่า สมณะ
เหล่านี้มักมาก เป็นผู้รักษาคลังภายใน. พระศาสดาทรงสดับความเป็น
ไปนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็แลเภสัชที่เป็นของควรลิ้มของ
ภิกษุผู้เป็นไข้เหล่านั้นใดดังนี้เป็นต้น ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัณฑิตสมัยก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ บวชเป็นนักบวชใน
ลัทธิภายนอก แม้รักษาเพียงศีล 5 ก็ไม่เก็บก้อนเกลือไว้ เพื่อประโยชน์
ในวันรุ่งขึ้น ส่วนเธอทั้งหลายบวชในศาสนา ที่นำออกจากทุกข์เห็น
ปานนี้ เมื่อพากันทำการสะสมอาหารไว้ เพื่อประโยชน์แก่วันที่ 2 วัน
ที่ 3 ชื่อว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าคันธาระ
ในคันธารรัฐ เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ โดยพระราชบิดาทิวงคตแล้ว
ทรงครองราชย์โดยธรรม. แม้ในมัชฌิมประเทศ พระเจ้าวิเทหะก็ทรง
ครองราชย์ในวิเทหรัฐ. พระราชาทั้ง 2 พระองค์นั้น ทรงเป็นพระ-
สหายที่ไม่เคยเห็นกัน แต่ก็ทรงมีความคุ้นเคยกันอย่างมั่นคง. คนสมัย
นั้นมีอายุยืนดำรงชีวิตอยู่ได้ถึง 3 แสนปีดังนั้นในวันอุโบสถกลางเดือน
พระจ้าคันธาระก็ทรงสมาทานศีลเป็นครั้งคราว แล้วเสด็จไปประทับบน
พระบวรบัลลังก์ภายในชั้นที่โอ่โถง ทรงตรวจดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก

ทางสีหปัญชรที่เปิดไว้ ตรัสถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรมแก่เหล่าอำมาตย์
ขณะนั้นพระราหูได้บดบังดวงจันทร์เต็มดวง เหมือนกระโดดโลดเต้นไป
ในท้องฟ้า. แสงจันทร์อันตรธานหายไป. อำมาตย์ทั้งหลายไม่เห็น
แสงพระจันทร์ จึงทูลพระราชาถึงภาวะที่ดวงจันทร์ถูกราหูยึดไว้
พระราชาทรงทอดพระเนตรพระจันทร์ ทรงพระดำริว่า พระจันทร์นี้
เศร้าหมองอับแสงไปเพราะสิ่งเศร้าหมองที่จรมา. แม้ข้าราชบริพารนี้ก็
เป็นเครื่องเศร้าหมองสำหรับเราเหมือนกัน แต่การที่เราจะเป็นผู้หมดสง่า
ราศรีเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกราหูยึดไว้นั้น ไม่สมควรแก่เราเลย. เราจักละ
ราชสมบัติออกบวช เหมือนดวงพระจันทร์สัญจรไปในท้องฟ้าที่บริสุทธิ์
ฉะนั้น. จะมีประโยชน์อะไรด้วยผู้อื่นที่เราตักเตือนแล้ว เราจักเป็น
เสมือนผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยตระกูลและหมู่คณะ ตักเตือนตัวเองเท่านั้นเที่ยวไป
นี้เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา แล้วทรงมอบราชสมบัติให้แก่เหล่าอำมาตย์
ด้วยพระดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงพากันแต่งตั้งผู้ที่ท่านทั้งหลายต้อง
ประสงค์ให้เป็นพระราชาเถิด. พระราชาในคันธารรัฐนั้นทรงสละราช-
สมบัติเสด็จออกทรงผนวชเป็นฤๅษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นแล้ว
ทรงเอิบอิ่มด้วยความยินดีในฌาน สำเร็จการอยู่ในท้องถิ่นดินแดนหิม-
พานต์. ฝ่ายพระเจ้าวิเทหะตรัสถามพวกพ่อค้าทั้งหลายว่า พระราชา
พระสหายของเราสบายดีหรือ ? ทรงทราบว่าพระองค์เสด็จออกทรง
ผนวชแล้วทรงดำริว่า เมื่อสหายของเราทรงผนวชแล้ว เราจักทำอย่างไร
กับราชสมบัติ แล้วจึงทรงสละราชสมบัติในมิถิลนครกว้างยาว 7 โยชน์

คลังที่เต็มเพียบอยู่ในหมู่บ้าน 16,000 หมู่บ้าน ในวิเทหรัฐประมาณ
300 โยชน์และหญิงฟ้อน 16,000 นาง ไม่ทรงคำนึงถึงพระราชโอรส
และพระราชธิดา เสด็จสู่ท้องถิ่นดินแดนหิมพานต์ทรงผนวชแล้ว เสวย
ผลไม้ตามที่มี ประทับอยู่ไม่เป็นประจำเที่ยวสัญจรไป. ทั้ง 2 ท่านนั้น
ประพฤติพรตและอาจาระสม่ำเสมอ ภายหลังได้มาพบกันแต่ก็ไม่รู้จักกัน
ชื่นชมกันประพฤติพรตและอาจาระสม่ำเสมอกัน. ครั้งนั้นวิเทหะดาบส
ทำการอุปัฏฐากท่านคันธารดาบส ในวันเพ็ญวันหนึ่ง เมื่อท่านทั้ง 2
นั้น นั่งกล่าวกถาที่ประกอบด้วยธรรมกัน ณ ควงไม้ต้นใดต้นหนึ่ง
พระราหูบดบังดวงจันทร์ ที่ลอยเด่นอยู่ท้องฟ้า. ท่านวิเทหดาบสคิดว่า
แสงพระจันทร์หายไปเพราะอะไรหนอ จึงมองดูเห็นพระจันทร์ถูกราหูยึด
ไว้ จึงเรียนถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์อะไรหนอนั้น ได้บดบังพระจันทร์
ทำให้หมดรัศมี. ท่านคันธารดาบสตอบว่า ดูก่อนอันเตวาสิก นี้ชื่อว่า
ราหูเป็นเครื่องเศร้าหมองอย่างหนึ่งของพระจันทร์ ไม่ให้พระจันทร์ส่อง
แสงสว่าง แม้เราเห็นดวงจันทร์ถูกราหูบังแล้ว คิดว่า ดวงจันทร์ที่
บริสุทธิ์นี้ ก็กลายเป็นหมดแสงไป เพราะเครื่องเศร้าหมองที่จรมา
ราชสมบัตินี้ก็เป็นเครื่องเศร้าหมองแม้สำหรับเรา เราจักบวชอยู่จน
กระทั้งราชสมบัติ จะไม่ทำให้เราอับแสง เหมือนราหูบังดวงจันทร์ แล้ว
ทำดวงจันทร์ที่ถูกราหูบังนั่นเองให้เป็นอารมณ์ ทอดทิ้งราชสมบัติใหญ่
หลวงบวชแล้ว.

วิเทหดาบสถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านเป็นพระเจ้าคันธาระ
หรือ ? คันธารดาบส ถูกแล้วผมเป็นพระเจ้าคันธาระ.
วิ. ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมเองก็ชื่อว่าพระเจ้าวิเทหะ ใน
มิถิลนครในวิเทหรัฐ พวกเราเป็นสหายที่ยังไม่เคยเห็นกันมิใช่หรือ ?
คัน. ก็ท่านมีอะไรเป็นอารมณ์ จึงออกบวช ?
วิ. กระผมได้ทราบว่าท่านบวชแล้ว คิดว่า ท่านคงได้เห็นคุณ
มหันต์ของการบวชแน่นอน จึงทำท่านนั่นแหละให้เป็นอารมณ์ แล้ว
สละราชสมบัติออกบวช.
ตั้งแต่นั้นมาดาบสทั้ง 2 นั้น สมัครสมานกันชื่นชมกันเหลือ
เกิน เป็นผู้มีผลไม้เท่าที่หาได้เป็นโภชนาหาร ท่องเที่ยวไป. ก็แหละ
ทั้ง 2 ท่านอยู่ด้วยกัน ณ ที่นั้นมาเป็นเวลานาน จึงพากันลงมาจากป่า
หิมพานต์ เพื่อต้องการลิ้มรสเค็มรสเปรี้ยว ลุถึงชายแดนตำบลหนึ่ง
คนที่ทำลายเลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน ถวายภิกษารับปฏิญญาแล้ว
พากันสร้างที่พักกลางคืนเป็นต้นให้ท่านอยู่ในป่า แม้ในระหว่างทางก็
พากันสร้างบรรณศาลาไว้ในที่ ๆ มีน้ำสะดวกเพื่อต้องการให้ท่านทำภัตกิจ
ท่านพากันเที่ยวภิกขาจารที่บ้านชายแดนนั้นแล้ว นั่งฉันที่บรรณศาลา
หลังนั้นแล้ว จึงไปที่อยู่ของตน. คนแม้เหล่านั้นเมื่อถวายอาหาร
ท่าน บางครั้งก็ถวายเกลือใส่ลงในบาตร บางคราวก็ห่อใบตองถวาย
บางคราวก็ถวายอาหารที่มีรสไม่เค็มเลย. วันหนึ่งพวกเขาได้ถวายเกลือ

จำนวนมาก ในห่อใบตองแก่ท่านเหล่านั้น. วิเทหดาบสถือเอาเกลือไป
ด้วย เวลาภัตกิจของพระโพธิสัตว์ก็ถวายจนพอ ฝ่ายตนเองก็หยิบเอา
ประมาณพอควร ที่เกินต้องการก็ห่อใบตองแล้วเก็บไว้ที่ต้นหญ้า ด้วย
คิดว่า จักใช้ในวันที่ไม่มีเกลือ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อได้อาหารจืด ท่าน
วิเทหดาบสถวายภาชนะภิกษาแก่ท่านคันธาระแล้ว นำเกลือออกมาจาก
ระหว่างต้นหญ้าแล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ นิมนต์ท่านรับเกลือ.
คันธารดาบสถามว่า วันนี้คนทั้งหลายไม่ได้ถวายเกลือ ท่านได้มาจาก
ไหน ?
วิ. ข้าแต่ท่านอาจารย์ ในวันก่อนคนทั้งหลายได้ถวายเกลือมาก
กระผมจึงเก็บเกลือที่เกินความต้องการไว้ด้วยตั้งใจว่า จักใช้ในวันที่
อาหารมีรสจืด.
พระโพธิสัตว์จึงต่อว่า วิเทหดาบสว่า โมฆบุรุษเอ๋ย ท่านละทิ้ง
วิเทหรัฐประมาณ 3 ร้อยโยชน์มาแล้ว ถึงความไม่มีกังวลอะไร บัดนี้
ยังเกิดความทะยานอยากในก้อนเกลืออีกหรือ เมื่อจะตักเตือนท่าน จึง
ได้กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
ท่านละทิ้งหมู่บ้านที่บริบูรณ์ 16,000 หมู่
และคลังที่เต็มด้วยทรัพย์มาแล้ว บัดนี้ยังจะทำ
การสะสมอยู่อีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกฏฺฐาคารานิ ได้แก่คลังทองคลัง
เงินคลังแก้วมีแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น ทั้งคลังผ้าและคลังข้าว
เปลือก. บทว่า ผีตานิ ความว่า เต็มแล้ว. บทว่า สนฺนิธินฺทานิ
กุพฺพสิ
ความว่า บัดนี้ ท่านยังจะทำการสะสมเพียงเกลือ ด้วยคิดว่า
จักใช้พรุ่งนี้ จักใช้วันที่ 3.
วิเทหดาบส ถูกตำหนิอยู่อย่างนี้ ทนคำตำหนิไม่ได้ กลาย
เป็นปฏิปักษ์ไป เมื่อจะแย้งว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านไม่เห็นโทษของ
ตัวเอง เห็นแต่โทษของผมอย่างเดียว ท่านดำริว่า เราจะประโยชน์อะไร
ด้วยคนอื่นที่ตักเตือนเรา เราจักเตือนตัวเราเอง ทอดทิ้งราชสมบัติออก
บวชแล้ว แต่วันนี้เหตุไฉนท่านจึงตักเตือนผม จึงได้กล่าวคาถาที่ 2 ว่า:-
ท่านละทิ้งอยู่คือคันธารรัฐ หนีจากการ
ปกครอง ในราชธานีที่มีทรัพย์พอเพียงแล้ว
บัดนี้ ยังจะปกครองในที่นี้อีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสาสนิโต ความว่า จากการ
ตักเตือนและการพร่ำสอน. บทว่า อิธ ทานิ ความว่า เหตุไฉน บัดนี้
ท่านจึงตักเตือนในที่นี้ คือในป่าอีก.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
ดูก่อนท่าน วิเทหะ เรากล่าวธรรม
ความจริง เราไม่ชอบอธรรมความไม่จริง เมื่อ

เรากล่าวคำเป็นธรรมอยู่ บาปก็ไม่เปรอะเปื้อน
เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ได้แก่สภาวะความเป็นเอง
คือเหตุที่บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงพรรณนาสรรเสริญ
แล้ว. บทว่า อธมฺโม เม น รุจฺจติ ความว่า ธรรมดาอธรรมไม่ใช่
สภาวะความเป็นเอง เราก็ไม่ชอบใจแต่ไหนแต่ไรมา. บทว่า
ปาปมุปลิมฺปติ
ความว่าเมื่อเรากล่าวสภาวะนั่นเองหรือเหตุนั่นแหละอยู่
ขึ้นชื่อว่าบาปจะไม่ติดอยู่ในใจ. ธรรมดาการให้โอวาทนี้เป็นประเพณี
ของพระพุทธเจ้า พระปักเจกพุทธเจ้าและพระสาวกและโพธิสัตว์ทั้ง
หลาย. ถึงคนพาลจะไม่รับเอาโอวาทที่ท่านเหล่านั้นให้แล้ว แต่ผู้ให้
โอวาทก็ไม่มีบาปเลย. เมื่อจะแสดงอีกจึงกล่าวคาถาว่า :-
ผู้มีปัญญา คนใดมักชี้โทษมักพูดบำราบ
คนควรมองให้เหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ ควรคบ
บัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่า เมื่อคบบัณฑิตเช่น
นั้น จะมีแต่ความดีไม่มีความชั่ว คนควรตัก
เตือน ควรพระสอนและควรห้ามเขาจากอสัต-
บุรุษ เพราะและเป็นที่รักของเหล่าสัตบุรุษ
ไม่เป็นที่รักของเหล่าอสัตบุรุษ.

วิเทหดาบสฟังถ้อยคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่
ท่านอาจารย์ บุคคลแม้เมื่อกล่าวถ้อยคำที่อิงประโยชน์ ก็ไม่ควรกล่าว
กระทบเสียดแทงผู้อื่น ท่านกล่าวคำหยาบคายมาก เหมือนโกนผม
ด้วยมีดโกนไม่คม แล้วจึงกล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
คนอื่นได้รับความแค้นเคือง เพราะคำพูด
อย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าคำนั้นจะมีประโยชน์
มาก บัณฑิตก็ไม่ควรพูด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยนเกนจิ ความว่า ด้วยเหตุ แม้
ประกอบด้วยธรรม. บทว่า ลภติ รุปฺปนํ ความว่า ได้รับความกระทบ
กระทั่ง ความแค้นเคืองคือความเดือดดาล. บทว่า นตํ ภาเสยฺย มี
เนื้อความว่า เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรกล่าววาจาที่เป็นเหตุให้
ประทุษร้ายบุคคลอื่นนั้นที่มีประโยชน์มาก คือแม้ที่อิงอาศัยประโยชน์
ตั้งมากมาย.
ลำดันนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาที่ 5 แก่วิเทหดาบสนั้น
ว่า :-
ผู้ถูกตักเตือน จะแค้นเคืองหรือไม่แค้น
เคืองก็ตามเถิด หรือจะเขี่ยทิ้งเหมือนโปรย
แกลบทิ้งก็ตาม เมื่อเรากล่าวคำเป็นธรรมอยู่
ขึ้นชื่อว่าบาป ย่อมไม่เปรอะเปื้อนเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามํ ความว่า. โดยส่วนเดียว. มี
คำอธิบายว่า บุคคลผู้ทำกรรมไม่สมควร เมื่อถูกตักเตือนว่า ท่านทำกรรม
ไม่ควรแล้ว จะโกรธโดยส่วนเดียวก็ตาม หรือไม่โกรธก็ตาม. อีก
อย่างหนึ่งเขาจะเขี่ยทิ้งเหมือนกำแกลบหว่านทิ้งก็ตาม แต่ว่าเมื่อเรากล่าว
คำเป็นธรรมอยู่ ขึ้นชื่อว่าบาปย่อมไม่มี.
ก็แหละพระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ได้ดำรงอยู่ในข้อ
ปฏิบัติที่สมควรแก่โอวาทของพระสุคตนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ เราตถาคต
จักไม่ทะนุถนอมเลย เหมือนช่างหม้อทะนุถนอมภาชนะดินเหนียวที่
ยังดิบ ๆ ฉะนั้น เราตถาคตจักบำราบเอาบำราบเอา ผู้ใดหนักแน่นเป็น
สาระ ผู้นั้นก็จักดำรงอยู่ได้ เมื่อจะตักเตือนวิเทหดาบสอีก เพื่อแสดง
ให้เห็นว่า ท่านตักเตือนบำราบแล้ว ตักเตือนบำราบอีก จึงรับบุคคล
ทั้งหลายผู้เช่นกับภาชนะดินที่เผาสุกแล้วไว้ เหมือนช่างหม้อเคาะดูแล้ว
เคาะดูอีก ไม่รับเอาภาชนะดินที่ยังดิบไว้ รับเอาเฉพาะภาชนะดินที่เผา
สุกแล้วเท่านั้นไว้ฉะนั้นดังนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาไว้ว่า :-
ถ้าสัตว์เหล่านี้ไม่มีปัญญาของตนเอง หรือ
วินัยที่ศึกษาดีแล้วไซร้ คนจำนวนมากก็จะ
เที่ยวไป เหมือนกระบือตาบอดเที่ยวไปในป่า
ฉะนั้น แต่เพราะเหตุที่ธีรชนบางเหล่า ศึกษาดี

แล้วในสำนักอาจารย์ฉะนั้น ธีรชนผู้มีวินัยที่
ได้แนะนำแล้ว จึงมีจิตตั้งมั่นเที่ยวไปอยู่.

คาถานี้มีเนื้อความว่า ดูก่อนสหายวิเทหะ เพราะว่าถ้าหากสัตว์
เหล่านี้ ไม่มีปัญญาหรือไม่มีวินัยคืออาจารบัญญัติ ที่ศึกษาดีแล้วเพราะ
อาศัยเหล่าบัณฑิตผู้ให้โอวาทไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้คนเป็นอันมาก ก็จะ
เป็นเช่นท่านเที่ยวไป เหมือนกระบือตาบอด ไม่รู้ที่ ๆ เป็นที่โคจรหรือ
อโคจร มีสิ่งที่น่ารังเกียจหรือไม่มีสิ่งที่น่ารังเกียจ เที่ยวไปในพงหญ้า
และเถาวัลย์เป็นต้น แต่เพราะเหตุที่สัตว์ บางพวกในโลกนี้ ที่
ปราศจากปัญญาของตนศึกษาดีแล้ว ด้วยอาจารบัญญัติในสำนักอาจารย์
เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามีวินัยที่แนะนำแล้ว เพราะตนเป็นผู้ที่
อาจารย์แนะนำแล้ว ด้วยวินัยที่เหมาะสม คือเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว
ได้แก่เป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิเที่ยวไปดังนี้. ด้วยคาถานี้ท่านคันธารดาบส
แสดงคำนี้ไว้ว่า จริงอยู่ คนนี้เป็นคฤหัสถ์ ก็ศึกษาสิกขาที่สมควรแก่
ตระกูลของตน เป็นบรรพชิตก็ศึกษาสิกขาที่สมควรแก่บรรพชิต อธิบาย
ว่า ฝ่ายคฤหัสถ์เป็นผู้ศึกษาดีในกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น ที่
เหมาะสมแก่ตระกูลของตนแล้วเที่ยว ก็จะเป็นผู้มีความเป็นอยู่สมบูรณ์
มีใจมั่นคงเที่ยวไป. ส่วนบรรพชิต เป็นผู้ศึกษาดีในอาจาระมีการก้าวไป
ข้างหน้าและการถอยกลับเป็นต้น และในอธิสีลสิกขา อธิจิตสิกขาและ
อธิปัญญาสิกขาทั้งหลายที่เหมาะสมแก่บรรพชิต ที่น่าเลื่อมใสแล้วก็เป็น

ผู้ปราศจากความฟุ้งซ่านมีจิตตั้งมั่นเที่ยวไป. เพราะว่าในโลกนี้ :-
ความเป็นพหูสูต 1 วินัยที่ศึกษาดีแล้ว 1
วาจาที่เป็นสุภาษิต 1 สามอย่างนี้เป็นมงคลอัน
สูงสุดดังนี้.

วิเทหดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว ไหว้ขอขมาพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอท่านจงตักเตือนจงพร่ำสอนเราเถิด
เรากล่าวกะท่านเพราะความเป็นผู้ไม่มีความยับยั้งใจโดยกำเนิด ขอท่าน
จงให้อภัยแก่เราเถิด. ท่านทั้ง 2 นั้นอยู่สมัครสมานกันแล้วได้พากันไปป่า
หิมพานต์อีกนั่นแหละ ณ ที่นั้นพระโพธิสัตว์ได้บอกกสิณบริกรรมแก่
วิเทหดาบส. ท่านสดับแล้วยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น. ทั้ง 2
ท่านนั้นเป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมแล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลก เป็นที่ไปใน
เบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกไว้ว่า วิเทหราชาในครั้งนั้น ได้แก่พระอานนท์ในบัดนี้ ส่วน
คันธารราชา ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคันธารชาดกที่ 1

2. มหากปิชาดก



ว่าด้วยคุณธรรมของหัวหน้า



[1050] ดูก่อนขุนกระบี่ ท่านได้ทอดตัวเป็น
สะพานให้เหล่าวานรข้ามไปโดยสวัสดี ท่าน
เป็นอะไรกับวานรเหล่านั้น และวานรเหล่านั้น
เป็นอะไรกับท่าน ?
[1051] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปราบข้าศึก ข้าพระ-
องค์เป็นพญาวานรผู้เป็นใหญ่ ปกครองฝูง
วานรเหล่านั้น เมื่อพวกเขาถูกความโศก
ครอบงำ หวาดกลัวพระองค์.
[1052] ข้าพระองค์ได้ทะยานพุ่งตัว ที่มีเครื่องผูก
คือเถาวัลย์ผูกสะเอาไว้แน่น ไปจากต้นไม้ต้น
นั้นชั่วระยะร้อยคันธนูที่ปลดสายแล้ว.
[1053] กลับมาถึงต้นไม้ เหมือนเมฆถูกลม
หอบไปฉะนั้น แต่ข้าพระองค์ไปไม่ถึงต้นไม้
นั้น จึงได้ใช้มือจับกิ่งไม้ไว้.